Work-life balance เป็นเรื่องที่คนพูดถึงกันเยอะในการทำงานยุคใหม่เมื่อทุกคนอยากจะทำงานให้ได้ผลสูงสุดแต่ก็ยังอยากมีสุขภาพกายและใจที่ดีไปด้วยคอนเซ็ปต์ของ Work-life balance จึงเกิดขึ้นและได้รับความสนใจอย่างมาก จึงเกิดคำถามว่า Work-life balance มีอยู่จริงไหม? และเราจะดูแลสุขภาพจิตของเราอย่างไรท่ามกลางการทำงานที่รวดเร็วและต้องการผลลัพธ์สูงสุดในปัจจุบัน
ภารกิจเพื่อ Work-life balance
หมายถึงความสมดุลระหว่างความต้องการความรับผิดชอบทางวิชาชีพและชีวิตส่วนตัว การบรรลุความสมดุลนี้ได้กลายเป็นความท้าทายในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งเทคโนโลยีทำให้เส้นแบ่งระหว่างงานและเวลาส่วนตัวพร่ามัว จากมุมมองทางจิตวิทยา คำนี้หมายถึงการแบ่งขั้วที่อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด ชีวิตนั้นเป็นเรื่องซับซ้อนระหว่างบทบาทและความรับผิดชอบต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงกัน และความพยายามแบ่งแยกงานและชีวิตส่วนตัวออกเป็นขอบเขตที่แตกต่างกันนั้น อาจทำให้เครียดและหงุดหงิดได้
ความสมดุลที่เขาว่ากันว่ามีอยู่จริง
นักจิตวิทยายังคงถกเถียงกันถึงคอนเซ็ปต์ของ Work-life “balance” หรือความสมดุล ว่าอาจเป็นคอนเซ็ปต์ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด แทนที่ทุกคนควรจะมองหาความสมดุลที่สมบูรณ์แบบในการแบ่งแยกชีวิตทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เราควรเปลี่ยนเป็นความยืดหยุ่นระหว่างบทบาทและกิจกรรมต่างๆแทน มุมมองนี้จะทำให้ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องที่เชื่อมต่อกันและส่งเสริมกันและกัน อีกทั้งมุมมองแบบยืดหยุ่นนี้ยังลดความรู้สึกผิดเมื่อด้านใดด้านหนึ่งต้องการความใส่ใจมากกว่าในบางช่วงเวลา
ดูแลสุขภาพใจเมื่อเรายังต้องทำงาน
ดูจากเวลาที่เราต้องใช้ในการทำงานแต่ละวันแล้วการฝึกฝนวิธีการดูแลสุขภาพใจในที่ทำงานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างกลยุทธ์ดีๆที่จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพใจของเราได้ระหว่างการทำงาน
- กำหนดขอบเขต
กำหนดขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างงานและเวลาส่วนตัว ใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ และหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอีเมลหรือข้อความที่เกี่ยวข้องกับงานในช่วงเวลานอกเวลาทำงาน
- ให้เวลาดูแลตัวเอง หรือ Self-care
ทำกิจกรรมดูแลตนเองเป็นประจำนอกที่ทำงาน ซึ่งอาจรวมถึงงานอดิเรก การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือการใช้เวลาอันมีค่ากับคนที่คุณรัก เป็นต้น
- ขอความช่วยเหลือ
ปลูกฝังสภาพแวดล้อมการทำงานที่สนับสนุนกันและกัน โดยที่เพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานสนับสนุนให้มีการพูดคุยอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับสุขภาพจิต การมีกลุ่มเพื่อแบ่งปันข้อกังวลและขอคำแนะนำเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง
- บริหารเวลา
จัดการเวลาในที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดความเครียด แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ที่สามารถจัดการได้ จัดลำดับความสำคัญ และหลีกเลี่ยงการทำให้ตัวเองมีภาระมากเกินไปกับงานที่มากเกินไป
- หัดปฏิเสธบ้าง
คุณสามารถปฏิเสธงานเพิ่มเติมได้หากคุณไม่สามารถแบกรับมันได้อีกต่อไป ความมุ่งมั่นที่มากจนเกินไปอาจนำไปสู่การ Burnout และส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของคุณได้
- หยุดพัก
การหยุดพักเป็นประจำระหว่างวันทำงานแสดงให้เห็นว่าสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและความเป็นอยู่โดยรวมได้ การก้าวออกจากโต๊ะแม้เพียงเดินระยะสั้นๆ ก็ช่วยให้จิตใจสดชื่นได้
- ฝึกสมาธิ หรือ Mindfulness
ฝึกการมีสติเพื่อให้อยู่กับปัจจุบันและลดความเครียด เทคนิคต่างๆ เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ และการฝึกสติ สามารถทำได้ทั้งในที่ทำงานและนอกสถานที่
- ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้
ตั้งเป้าหมายที่สามารถบรรลุได้สำหรับทั้งงานและชีวิตส่วนตัว ความคาดหวังที่ไม่สมจริงสามารถนำไปสู่ความรู้สึกไม่เพียงพอและความเครียดได้
แม้ว่าแนวคิด Work-Life Balance อาจเป็นเรื่องยาก แต่มุมมองทางจิตวิทยาสนับสนุนให้เรายอมรับความเชื่อมโยงระหว่างบทบาทและประสบการณ์ของเรา แทนที่จะมุ่งมั่นเพื่อความสมดุลที่เข้มงวด เราควรมุ่งเน้นไปที่ความยืดหยุ่นของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวในลักษณะที่ช่วยเพิ่มความสุของค์รวมของเรา การใช้กลยุทธ์เพื่อรักษาสุขภาพจิตของเราภายในสถานที่ทำงานช่วยจะให้เรามีสุขภาพที่ดีและเติมเต็มชีวิตได้มากขึ้น ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว
Reference: Greenhaus, J. H., & Powell, G. N. (2006). When Work and Family Are Allies: A Theory of Work-Family Enrichment. Academy of Management Review, 31(1), 72-92.