เคยเป็นกันไหม เวลาที่เครียดหรือรู้สึกไม่ดีกับอะไรสักอย่าง จะรู้สึกว่า “ทำไมชีวิตเรามันแย่จัง” อะไรก็แย่ไปหมด ไม่เห็นมีอะไรดีเลย ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่แย่อาจจะมีแค่เรื่องเดียวก็ได้ เช่น เครียดเพราะว่างานเยอะมากกว่าปกติ แต่เพราะเครียดเรื่องงาน ก็พลอยทำให้เรารู้สึกแย่กับเรื่องอื่นไปด้วย เช่น แฟนไม่รับสาย ทำให้คิดไปเองว่าแฟนไม่รักแล้ว หรือทำของหาย ทำให้คิดว่าช่วงนี้ต้องดวงตกแน่ ๆ ถึงทำให้ซวยขนาดนี้ แต่จริง ๆ แล้ว การที่เราจมไปกับความรู้สึกแย่ ๆ ไปกับทุกเรื่องแบบนี้ อาจมีที่มาจาก Cognitive Distortion หรือ ความคิดที่บิดเบี้ยว ก็ได้นะ
Cognitive Distortion เป็นชุดความคิดที่บิดเบี้ยวและไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นจริง ส่งผลให้เรามีความคิดและความรู้สึกที่แย่เกินความเป็นจริง ซึ่งอาจเกิดจากการจมอยู่กับอารมณ์ที่มีความเข้มข้นและรุนแรง รวมถึงปัจจัยภายนอกรอบข้างอย่างครอบครัว สังคมที่อยู่อาศัย เป็นต้น ยกตัวอย่างเหตุการณ์เราโดนครอบครัวพูดทำร้ายความรู้สึก ทำให้รู้สึกผิดและโทษตัวเองซ้ำ ๆ ซึ่ง Cognitive Distortion ก็คือความรู้สึกผิดและโทษตัวเองนี่แหละ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงเราอาจจะไม่ได้ทำผิดอะไรเลยก็ได้ และถ้าหากเราปล่อยให้ความคิดที่บิดเบี้ยวนี้กัดกินเราไปเรื่อย ๆ มันจะเป็นตัวช่วยทำให้ปัญหาทางสุขภาพจิตคลืบคลานมาหาเราอย่างช้า ๆ จนท้ายที่สุดเราอาจป่วยใจไปโดยไม่รู้ตัว
Cognitive Distortion มีหลากหลายรูปแบบเลยทีเดียว แต่วันนี้เราจะหยิบยก 5 ตัวอย่างมาให้อ่านกัน
- Filtering : เป็นความคิดที่เราโฟกัสอยู่กับสิ่งที่แย่มากเกินไป ถึงแม้จะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นก็ตาม แต่เราเลือกที่จะโฟกัสในจุดที่แย่
- Jumping to Conclusions : คือการรีบด่วนสรุป ทั้ง ๆ ที่ไม่มีข้อมูลมากพอ เช่น เพื่อนทำหน้าบึ้ง เราจึงด่วนสรุปไปว่าเพื่อนโกรธเรา ทั้ง ๆ ที่เพื่อนแค่เครียดเรื่องงาน
- Personalization : เป็นการโทษตัวเองและรู้สึกผิดกับตัวเองโดยที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดเราก็ได้
- Emotional Reasoning : เป็นการสรุปความคิดที่เกิดจากความรู้สึกของเรา เช่น วันนี้เราตื่นมารู้สึกแย่ เราจึงคิดว่าวันนี้ทั้งวันต้องเป็นวันที่แย่แน่ ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่มันอาจไม่เป็นความจริงก็ได้
- Blaming : เป็นความคิดที่ว่าคนอื่นต้องรับผิดชอบความรู้สึกของเรา เช่น วันนี้เราแต่งตัวไปงานปาร์ตี้ แต่เพื่อนบอกว่าชุดนี้ไม่ค่อยเหมาะกับเรา เราจึงบอกเพื่อนว่าคำพูดเพื่อนทำให้เรารู้สึกแย่ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เพื่อนคิดว่าไม่ดี แต่เราชอบชุดนี้ เราสามารถใส่ไปได้เลยโดยที่ไม่ต้องสนคำพูดของเพื่อน
ตัวอย่าง Cognitive Distortion ที่ยกมา มีใครเป็นข้อไหนกันบ้าง? และจากตัวอย่างที่ยกมานี้ ทำให้เห็นเลยว่า Cognitive Distortion นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติทั่วไปมาก ๆ แต่ในระยะยาว มันอาจสร้างปัญหาให้เราได้ สำหรับใครที่อยากลองจัดการกับ Cognitive Distortion ของตัวเอง เราแนะนำให้ลองสังเกตความคิดตัวเอง ถ้าเริ่มจับได้ว่าเราคิดลบเมื่อไหร่ ลองสำรวจดูว่า สิ่งที่เราคิดนี้เป็นความจริงไหม ถ้าพบว่าไม่ใช่ ก็ไม่ต้องใส่ใจกับความคิดนั้นเลย ปล่อยมันไป เช่น เราโดนแม่ดุ แต่เรื่องที่แม่ดุไม่ได้เกิดจากเรา เราก็ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาคิดหรือมาใส่ใจแม้แต่นิดเลย แต่ถ้ารู้สึกว่าเราจัดการความคิดแย่ ๆ ของตัวเองไม่ไหว อาจจำเป็นต้องไปปรึกษานักจิตวิทยาเพื่อลองทำการบำบัดไปด้วยกัน
อ้างอิง