เคยสังเกตกันไหมว่า เวลาดูหนังไทยหรือหนังต่างชาติก็ตาม เวลาที่ตัวเอกมีปัญหาชีวิตหรือมีอะไรที่ต้องขบคิด สถานที่หนึ่งที่พวกเขามักชอบไปใช้เวลาในการทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเองคือการเดินเล่นที่สวนสาธารธ หรืออาจเป็นพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ อย่างเช่น เดินเล่นตามท้องถนน ไปเดินเล่นริมทะเล หรืออาจเป็นที่ไหนก็ได้ตามที่ตัวบทได้วางไว้
แต่ถ้าหากพูดถึงตามความเป็นจริงที่อยู่นอกเหนือบทละครหรือบทหนังแล้ว จริง ๆ แล้วเวลาที่คนเรามีปัญหาเราก็ชอบเดินเล่นเหมือนกันนะ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบเดิน แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีคนที่เครียดและแก้ไขปัญหาด้วยการคิดไปเดินไปมีอยู่จริง และวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเรื่องของการเดินและการคลายเครียดที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเราได้โดยตรงกัน
การเดินและสุขภาพจิต เกี่ยวข้องกันอย่างไร?
การเดิน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นในสวนสาธารณะหรือพื้นที่ต่าง ๆ หรือเป็นการเดินเร็วบนลู่วิ่งเพื่อพักเบรคจากการวิ่ง หรือจะเป็นการเดินทั่วไปก็ตาม หากมีการออกแรงเดินตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไปจะถูกนับว่าเป็นการออกกำลังกายทั้งสิ้น ซึ่งการเดินในรูปแบบที่เป็นการออกกำลังกายนี้ ช่วยให้ร่างกายเราได้ขยับตัวมากขึ้น เป็นการกระตุ้นความรู้สึกให้ตื่นตัว มีความกระปรี้กระเปร่าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกและสภาพจิตใจของเราได้โดยตรง ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวตามไปด้วย
นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดภายในร่างกายเรา และยังทำให้ระบบไหลเวียนเลือดที่ทำงานทั่วร่างกายของเรา รวมถึงสมองของเราได้ทำงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ Hypothalamic-Pituitary-Adrenal axis (HPA Axis) ซึ่งเป็นในส่วนของการตอบสนองของระบบประสาทส่วนกลางทำงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ของสมองนี้เองที่ช่วยทำให้เรารู้สึกใจเย็นลง และช่วยผ่อนคลายความเครียดที่เรามีได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และด้วยความที่สมองของเราได้รับการกระตุ้นให้ทำงาน การเดินอย่างเป็นประจำยังส่งผลต่อการทำงานของสมองในด้านการรู้คิดได้อีกด้วย เช่น ความจำ การตัดสินใจ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
ซึ่งพอร่างกายเราได้รับการกระตุ้นให้มีการตื่นตัว รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และมีความเครียดลดลง แน่นอนว่า หากมีการเดินอย่างเป็นประจำ มันจะส่งผลให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นตามไปด้วย
นอกเหนือจากการเดินยังส่งผลต่อปัจจัยทางด้านร่างกายและสุขภาพจิตของเราโดยตรงแล้ว การเดินไปคิดไปที่หลาย ๆ คนชอบทำก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยให้เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ใช้เวลากับตัวเอง ได้ขบคิด ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ ความเครียดต่าง ๆ นานา เรื่องราวในอดีต ความผิดพลาด ความสำเร็จ หรือจะเป็นเรื่องราวใด ๆ ก็ตาม มันช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น
ซึ่งการเข้าใจตัวเองนั้นช่วยให้เรามีมุมมองหรือทัศนคติต่อตัวเองได้ดีขึ้น ทำให้เรามองตัวเองตามความเป็นจริง และมีการปรับปรุง พัฒนา หรือฝึกฝนตัวเองให้กลายเป็นเราในเวอร์ชันที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้ หรือช่วยให้เรายอมรับตัวเองและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจได้มากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทักษะหรือสิ่งที่เรามีติดตัวมาตั้งแต่เกิด หากแต่เราทุกคนต้องใช้เวลากับมัน และใช้เวลากับตัวเองในการทำความเข้าใจตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่งอีกด้วย
ประโยชน์ของการเดิน
- ได้ออกกำลังกายไปในตัว
- ช่วยคลายเครียด
- ปรับสมดุลหรือช่วยในการจัดการอารมณ์
- ได้ใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น
- ส่งเสริมให้ร่างกายในส่วนต่าง ๆ ได้ทำงานมากขึ้น
5 ข้อเพิ่มประโยชน์การเดินให้ดีต่อสุขภาพจิต
- เดินให้ได้อย่างน้อย 30 นาที
หากอยากเดินให้เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตมากที่สุด ควรมีการเดินเป็นประจำทุกวันอย่างน้อย 30 นาทีขึ้นไป เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานและกระตุ้นการทำงานของร่างกาย แต่ถ้าหากเรารู้สึกว่าการเดิน 30 นาทีต่อเนื่องนั้นยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ลองซอยออกมาเป็นเซ็ตย่อย ๆ 3 เซ็ต เซ็ตละ 10 นาที และจัดเวลาให้ตัวเราได้พักระหว่างเซ็ตก็ช่วยให้เราเดินออกกำลังกายได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
- เดินให้ได้เป็นประจำทุกวัน
ถ้าหากเป็นไปได้ เราขอแนะนำให้เดินทุกวัน อาจไม่ใช่การเดินออกกำลังกายหรือเดินเร็วบนลู่วิ่งที่ทำให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานอย่างจริงจัง แต่อาจเป็นการเดินเล่นตามที่ต่าง ๆ ในสวนสาธารณะหรือเดินเล่นรอบหมู่บ้าน โดยการเดินเล่นแบบนี้จะช่วยให้เราได้ใช้เวลากับตัวเองในทุก ๆ วัน และช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย
- เดินไปด้วยฝึกสติไปด้วย
รู้หรือไม่ การเดินถือเป็นกิจกรรมการฝึกสติ หรือ Mindfulness รูปแบบหนึ่งเช่นกัน โดยเราสามารถเปลี่ยนจากการเดินเล่นเฉย ๆ เป็นการเดินเพื่อฝึกสติได้อย่างง่ายดายด้วยการเพิ่มกิจกรรมการสังเกตเข้าไป เป็นการสังเกตตัวเราเองและสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ตอนเดินเรารู้สึกอย่างไร พื้นที่เราเดินเรียบหรือไม่ เราเจ็บเท้าหรือไม่ ต้นไม้ต้นนั้นเป็นต้นอะไร เป็นต้น ซึ่งการสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวนี้จะช่วยให้เราได้อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น และช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดความกังวลต่าง ๆ ได้อีกด้วย
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประโยชน์ของ การฝึกสติ หรือ Mindfulness
- เดินแบบไม่เหงา
การเดินเป็นกิจกรรมที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก เราจะเดินแบบไหน ที่ไหน หรือแม้แต่เดินกับใครก็ได้ หากวันใดที่เรารู้สึกว่าไม่อยากเดินคนเดียว ลองชวนคนที่เราไว้ใจมาเดินเล่นด้วยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว คนรัก หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงานก็ได้เช่นกัน เพราะการชวนพวกเขามาเดินด้วยจะช่วยทำให้เรารู้สึกสนิทกันได้ สังเกตไหมว่า เวลาเราเดินเล่นกับใครสักคน เราต้องชวนพวกเขาคุยด้วยอยู่เสมอ ซึ่งการมีบทสนทนาระหว่างกันจะช่วยทำให้เรารู้สึกสนิทกันมากขึ้นและทำให้ได้คลายเครียดผ่านการพูดคุยอีกด้วย ซึ่งการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ดีก็ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของเราได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
- ตั้งเป้าหมาย
หากรู้สึกว่าอยากทำให้การเดินเป็นกิจกรรมที่จริงจังสำหรับเรามากขึ้น เพื่อให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเดิน ลองเดินแบบตั้งเป้าหมายไปด้วยดู เช่น วันนี้จะเดิน 1 กิโลเมตร วันนี้จะเดิน 1 ชั่วโมง หรือวันนี้จะเดินไปด้วยวิ่งไปด้วย ซึ่งการตั้งเป้าหมายแบบนี้จะช่วยให้เราตื่นเต้นและสนุกในการพิชิตเป้าหมายไปด้วย พอเราทำสำเร็จก็จะรู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จ ซึ่งทำให้เรารู้สึกดีขึ้นกับตัวเองได้อีกด้วย พอเรารู้สึกดีกับตัวเอง แน่นอนว่า สุขภาพจิตของเราก็จะดีตามไปด้วย
เห็นไหมว่า กิจกรรมง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนมองข้ามอย่างการเดินสามารถทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราได้ดีขึ้นได้มากขนาดไหน อีกทั้งยังทำได้ง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย และสามารถทำได้จริงทุกวันอีกด้วย ถ้าใครอยากลองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต การเดินก็ถือเป็นกิจกรรมเริ่มต้นที่ช่วยทำให้เราเข้าวงการการออกกำลังกายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
อ้างอิง
Mental Benefits of Walking. (2024, February 28). WebMD.
Does walking for mental health actually improve wellbeing? — Calm Blog. (2024, May 6). Calm Blog.