ชีวิตการทำงานนับว่าเป็นช่วงเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของมนุษย์ เพราะ 1 สัปดาห์เราก็ทำงานปาไปแล้ว 4-5 วัน และในแต่ละวันของชีวิตการทำงาน การันตีได้เลยว่า ไม่มีใครหรอกที่รู้สึกไม่เหนื่อย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม งานเยอะ เพื่อนร่วมงานไม่น่ารัก หัวหน้าไม่เข้าใจ ลูกค้าให้แก้งานไม่หยุด หรืออาจจะมาจากปัจจัยรอบนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานโดยตรง อย่างเช่น ฝนตก อากาศร้อน น้ำท่วม รถติด ไฟดับ คอมพังเซฟงานไม่ได้ สิ่งรอบตัวและสภาพแวดล้อมแบบนี้ก็ส่งผลให้วันทำงานของเราก็แย่ลงได้เหมือนกัน
ซึ่งสิ่งที่ช่วยผ่อนวันหนัก ๆ ให้กลายเป็นเบาได้ ก็มีเป็น “การคลายเครียดจากการทำงาน” หรือ “การพักเบรคระหว่างวัน” นี่แหละ ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนเพิกเฉย จนสุดท้ายแล้วทำให้เกิดภาวะหมดใจ หรือ ภาวะ Burnout ขึ้นมาได้ดื้อ ๆ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของช่วงพักเบรคในวันทำงานให้มากขึ้นกัน
ความสำคัญของการคลายเครียดระหว่างวัน หรือ การพักเบรคในวันทำงาน
แน่นอนว่า สิ่งแรกที่เป็นผลพวงจากการได้ผ่อนคลายจากงานก็คือ “การมีสุขภาพจิตที่ดี” งานนี่แหละเป็นตัวสร้างความเครียดชั้นดีได้เลย ถ้าหากเป็นความเครียดที่มีระดับพอเหมาะก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นความเครียดเรื้อรังและเป็นความเครียดในระดับที่มากเกินคนจะรับไหว สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เพราะความเครียดนี่แหละส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานได้โดยตรงอีกด้วย เครียดมากไปก็ทำงานผลลัพธ์ที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้พนักงานรู้สึกอยากทำให้เสร็จ ๆ ไปมากกว่าตั้งใจทำงานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
อีกอย่างคือการพักเบรคคือการเซฟร่างกายรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะทำงานที่ใช้สมองเยอะหรือใช้แรงกายเยอะ เมื่อสมองคุณล้า เมื่อร่างกายคุณเหนื่อยขึ้นมา ณ จุด ๆ หนึ่ง สุดท้ายแล้ว ร่างกายเรานี่แหละที่จะเรียกร้องหาการพักผ่อน ซึ่งการพักเบรคจะช่วยให้เราได้รีชาร์จมาอีกครั้ง ได้ให้ร่างกายแวะไปเคลียร์ตัวเอง และทำให้เราพร้อมทำงานที่เหลือของวัน ๆ นั้นได้อย่างไม่รู้สึกหนักหนามากเกินไปอีกด้วย
ตัวอย่าง 7 กิจกรรมคลายเครียดระหว่างวันให้กับพนักงาน
การพักเบรคหาอะไรทำคลายเครียดระหว่างวันจึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วันทำงานหนัก ๆ เบาลงได้ ซึ่งวิธีการพักเบรคนั้นมีวิธีที่เราสามารถทำได้หลากหลายเลย (ไม่ได้มีแค่การขอไปนั่งไถ TikTok ในห้องน้ำนาน ๆ นะ)
- จัดโซนพักเบรคให้ชัดเจน แบ่งเป็นโซนเสียงดังได้ตามปกติ กับโซนเงียบ
- ให้โอกาสพนักงานในการจัดสรรเวลาเบรคของตัวเอง
- ส่งเสริมให้พนักงานพูดคุยเรื่องอื่นนอกจากเรื่องงาน เพื่อผ่อนคลายความเครียด
- จัดสรรกิจกรรมพักเบรคให้เลือกได้ตามอิสระ เช่น เล่นเกม ร้องคาราโอเกะ ระบายสี รดน้ำต้นไม้ เดินเล่นรอบ ๆ ไปหาอะไรอร่อย ๆ กิน เป็นต้น
- มีตัวช่วยคลายเครียดเป็นสัตว์เลี้ยงประจำสำนักงาน ที่พนักงานทุกคนสามารถแวะเวียนมาเล่นได้
- ให้พนักงานเช็กอารมณ์ตัวเองและจดบันทึกเป็นประจำทุกวัน
- ส่งเสริมให้มีกิจกรรมยืดเส้นยืดสายเป็นประจำทุกวัน
เพราะสุขภาพจิตของพนักงานเป็นเรื่องสำคัญ การจัดสรรหรือเพิ่มตัวเลือกในการผ่อนคลายจากการทำงานในแต่ละวันให้แก่พวกเขาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นก้น ถ้าพนักงานไม่มีความสุข การทำงานภายในองค์กรก็จะไม่มีความสุขตามไปด้วย
อ้างอิง